หลี่ ต้า เฉา
กำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์ในจีน
- ชาวจีนโดยทั่วไปได้เริ่มรู้จักกับลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อประมาณ ต้นศตวรรษที่ 20 โดยหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้ตีพิมพ์ ประวัติของ คาร์ล มาร์กซ์
- จากนั้นหนังสือที่เป็นต้นตำรับลัทธิคอมมิวนิสต์ก็เริ่มแพร่หลายเข้ามาสู่ประเทศจีน รวมถึง งานเขียนของ มาร์กซ์เอง และ เองเกล ผู้มีอิทธิพลต่อความคิดของมาร์กซ์
- ในระยะแรกไม่ได้รับความสนใจจากปัญญาชนชาวจีนมากมายนัก เนื่องจากหลักการของคอมมิวนิสต์ไปขัดกับหลัก จารีต ธรรมเนียมปฏิบัติเก่าของชาวจีน
- รวมถึงความสัมพันธ์ทางครอบครัว กรรมสิทธิ์ ในที่ดิน เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจน กับหลักการคอมมิวนิสต์ และปฏิญญา คอมมิวนิสต์ 8 ข้อ ของ มาร์กซ์
- แต่หลังจากการประชุมที่พระราชวังแวร์ซายส์ ชาวจีนรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับการยกย่องจากชาติตะวันตกเท่าที่ควร ทำให้ชาวจีนมีความรู้สึกไม่ดีต่อชาติตะวันตก รวมถึงปฏิเสธความเจริญตามอย่างชาติตะวันตกอีกด้วย
- ปัญญาชนจีนจึงหันเหไปสู่แนวคิดแนวทางใหม่ นั่นคือการแก้ปัญหาด้วยแนว สังคมนิยม รวมถึงการปฏิวัติสังคมตามแนวทางของ คาร์ล มาร์กซ์
- โดยยึดแบบแผนการปฏิวัติพรรคบอลเชวิค ของเลนิน มาเป็นสมมุติฐาน ทำให้ปัญญาชนกลุ่มหนึ่งแน่ใจว่า จะเป็นแบบแผนที่ใช้แก้ปัญหาของจีนได้ด้วยวิธีการเดียวกันคือ ปฏิวัติสังคม ตามแนวทางของระบอบมาร์กซิส
- พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงได้ถือกำเนิดขึ้นจากปัญญาชนผู้เลื่อมใสแนวคิดนี้จำนวน 12 มาประชุมกันและประกาศจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งจีนขึ้น ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1921
- โดยกลุ่มปัญญาชนหัวก้าวหน้าผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศ อาทิ เฉิน ตู เชี่ยว, ไฉ่ หยวน เผย ที่จบการศึกษามาจากฝรั่งเศส เกา โม โจ , ลู่ชุน จบการศึกษามาจากญี่ปุ่น รวมถึง หูฉื่อ และ เชียง มอนลิน ที่จบการศึกษามาจากอเมริกา และ หลี่ ต้า เฉา เป็นต้น
- เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้เดินทางกลับบ้านเกิด ได้เผยแพร่แนวคิดของพวกเขา และเผยแพร่แนวปรัชญาจากฝรั่งเศส และได้ โจมตี ลัทธิ ขงจื๊อ ว่าเป็นลัทธิที่บั่นทอน ความสามารถของปัจเจกชน
- เฉิน ตู เชี่ยว ได้เรียกร้องให้เยาวชนจีน มีแนวคิดที่เป็นอิสระ ก้าวหน้า และเป็นชาตินิยม
- ไฉ่ หยวน เผ่ย ได้เรียกร้องให้ การศึกษาของจีน จงหลุดพ้นจากการครอบงำจากการเมือง
- ส่วน หู ฉื่อไ ด้ใช้วิธีเขีนยเผยแพร่เอกสาร ใช้ภาษาง่ายๆที่ชาวบ้านเข้าใจโดยใช้ภาษาพูดมาเป็นภาษาเขียนเผยแพร่แนวคิดกระจายออกไป ซึ่งต่อมารัฐบาล ได้อนุญาตให้นำหลักการของหู ฉื่อ มาใช้ด้วย
นี่จึงถือเป็นจุดกำเนิดของพรรคคอมมิวนิสต์ในจีน
เฉิน ตู เชี่ยว
ไฉ่ หยวน เผ่ย
การเติบโตของพรรคคอมมิวนิสต์ในจีน
- อยู่ในสายตาของรัสเซียโดยตลอด และได้รับการช่วยเหลือ ด้วยดีเสมอมา โดยรัสเซียเองก็ต้องการใช้ แผ่นดินจีนเป็นกำแพงเพื่อป้องกันการรุกรานจากลัทธิทหารของญี่ปุ่นและลัทธิเผด็จการ ฟาสซิสต์ จากอิตาลี และเยอรมัน
- และเมื่อ ค.ศ.1931 จีนถูกญี่ปุ่นเข้ารุกราน โดยได้ยึดแมนจูเรียเหนือได้เป็นแห่งแรก และได้จัดตั้งเป็นประเทศ แมนจูกัว ขึ้น อีก 6 ปีต่อมา ปักกิ่งถูกรุกราน
- ในขณะที่ เจียง ไค เช็ค ไม่ได้ให้ความสนใจ แต่กลับตั้งหน้าตั้งตาไล่บดขยี้พรรคคอมมิวนิสต์ ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองกับ พรรค ก๊ก มิน ตั๋ง ให้สิ้นซาก
- ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ใช้เป็นข้ออ้างที่พรรคก๊กมิน ตั๋ง ไม่ปราบปรามญี่ปุ่น มาเป็นประเด็น ปลุกระดมมวลชนให้ชาวจีนรักชาติ ร่วมกันขับไล่ญี่ปุ่น และเจียง ไค เช็ค ออกไป จนประสบผลสำเร็จ
- หลังจากก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์มาถึง 20 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ประสบผลสำเร็จ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ในปี ค.ศ. 1945
- อเมริกา และรัสเซีย ตกลงแบ่งกันปลดอาวุธทหารญี่ปุ่น
- โดยอเมริกาเข้าปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นทางภาคใต้ และนำอาวุธที่ปลดนั้นมอบให้กับกองกำลังสหประชาชาติ
- ส่วนรัสเซียเข้าปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นทางภาคเหนือ แต่ รัสเซียกับทำผิดข้อตกลง โดยนำอาวุธที่ปลดจากทหารญี่ปุ่นไปมอบให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน รวมถึงพื้นที่ยึดครองไปมอบให้ด้วย จึงเกิดการสู้รบกันขึ้น ระหว่าง 2 เสือขั้ว อำนาจในจีน คือ พรรค ก๊ก มินตั๋ง และ พรรคคอมมิวนิสต์
อ่านเรื่องราวต่อเนื่องได้ ที่ด้านล่างนี้
สมัยสาธารณรัฐประชาชนจีน
กันยายน ค.ศ. 1949 เหมา เจ๋อ ตุง เรียกประชุมกรรมการที่ปรึกษาทางการเมืองขึ้น ผลของการประชุมคือ
- ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองปี ค.ศ.1949
- ประกาศใช้สัญลักษณ์ของธงประชาติ โดยที่ประชุมมีมติให้ใช้พื้นสีแดง มีดาวใหญ่ สีเหลือง และดาวเล็กอีก 4 ดวงโดยวางอยูต่ำลงมากว่าดาวใหญ่เล็กน้อย
ความหมายคือ
- ดาวใหญ่ หมายถึงพรรคคอมมิวนิสต์จีน
- ส่วนดาวเล็ก 4 ดวง หมายถึง ชนชั้น 4 ชนชั้นที่ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนพัฒนาประเทศ ตามอุดมการณ์และเป้าหมายที่ตั้งไว้ อันได้แก่
ตามธรรมนูญการปกครองประเทศจีนปี ค.ศ. 1949 ได้กำหนดแนวทางการปกครองประเทศไว้ว่า เป็นรูปแบบประชาธิปไตยรวมศูนย์ ตามอุดมการณ์ของ เลนิน
กล่าวคือ มีสิทธิในการพิจารณาปัญหาร่วมกัน แต่ เมื่อมีมติแล้วให้ถือเป็นมติของพรรค แม้ส่วนตัวจะไม่เห็นด้วยก็ต้องปฏิบัติตามมตินั้นอย่างเคร่งครัด
โครงสร้างการปกครองระดับชาติของจีน ประกอบด้วย องค์กรสำคัญ 2 องค์กรคือ
- พรรคคอมมิวนิสต์
- รัฐบาล
ตามทฤษฎีว่ากันว่า ทั้งสองเป็นอิสระต่อกัน และต่างมีอำนาจควบคุมองค์กรในสังกัดที่ต่ำกว่า
เช่น พรรคคอมมิวนิสต์คุม พรรคสภาแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นองค์กรสูงสุดของพรรคอมมิวนิสต์จีน
และคณะกรรมการกลางจะควบคุมดูแลพรรคสภามณฑล
พรรคสภามณฑลก็จะดูแล พรรคสภาอำเภอ ลดหลั่นกันลงไปเรื่อยๆ เป็นต้น
ในส่วนของรัฐบาล ก็จะมอบอำนาจให้ประธานพรรคคอมมิวนิสต์ รองประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ตามลำดับ ( เดิมทีเดียวอำนาจสูงสุดมอบให้ประธานาธิบดี และเปลี่ยนมาเป็นประธานพรรคดูแลแทนภายหลัง )
ระบบทหาร
คือกองทัพปลดแอกประชาชน หรือกองทัพแดง ที่เป็นกองกำลังหลักให้พรรคคอมมิวนิสต์ได้คุมอำนาจรัฐ โดย ทหารในกองทัพแดงจะสมัครเข้ารับใช้ พรรค ด้วยความสมัครใจตามธรรมนูญปกครอง ค.ศ.1949
แม้ในปี 1954จีนจะได้มีการจัดตั้งกระทรวงกลาโหมขึ้นแล้วก็ตาม แต่ในความเป็นจริงกระทรวงกลาโหมไม่ได้มีอำนาจในการบังคับบัญชาการกองทัพแดงแต่อย่างใด แต่ กลาโหมมีหน้าที่แค่ ดูแลเรื่องการปฏิวัติชนชั้นเท่านั้น
อำนาจที่แท้จริงที่บัญชาการกองทัพแดงของจีนคือ
- คณะกรรมาธิการกิจการทหาร ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์อีกทอดหนึ่ง ( พูดง่ายๆก็คือ พรรคคอมมิวนิสต์มีอำนาจสูงสุด เหนือทุกองค์กรและมีอำนาจบัญชาการทิศทางของประเทศจีนในทุกระดับนั่นเอง )
กังวาล ทองเนตร รัฐศาสตร์ภาควิชาการปกครองจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง
สถานที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน
หออนุสรณ์การประชุมผู้แทนสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งแรก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น