วันหนึ่ง
ถ้าเราแต่งตัวในสภาพนี้ แล้วเดินเข้าไปหานักการเมือง ไม่ว่าจะไปหาที่บ้าน สำนักงานศูนย์ประสานงานพรรค หรือแม้แต่เข้าไปพรรค
เพื่อนำความเดือดร้อนไปร้องเรียนกับพวกเขา เพื่อหวังให้เขาแบ่งเบา ปัดเป่า ผ่อนคลายหาทางออกให้
- ท่านลองถามตัวเองหรือไม่ครับว่าท่านจะได้คำตอบว่าอย่างไร
1.ให้เด็กในบ้านออกมาบอกว่าท่านไม่อยู่ ครับ / ค่ะ
2.ให้คนในพรรคนำค่ารถมาให้สัก 1-2 ร้อยเพื่อไล่ให้กลับไปเพื่อตัดความรำคาญ
3. เมินเฉยทุกกรณี
4.ต้อนรับอย่างแขกผู้มีเกียรติให้คำปรึกษาอย่างดี
ให้ตายเถอะครับผมไม่ได้อคติกับนักการเมือง แต่ตลอดชีวิตที่ผมได้มีโอกาสสัมผัสนักการเมือง คำตอบมีเพียง ข้อ 1-3 เท่านั้น
- ส่วนข้อ 4 .จะเกิดขึ้นได้เมื่อ
- เรามีข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามไปให้เขาไม่ว่าแง่มุมมใดก็ตาม
- มีจำนวนมากพอที่นักการเมืองจะเพิกเฉยไม่ได้
- มีการข่มขู่ว่าจะใช้มาตรการที่สูงขึ้น
ท่านเห็นหรือยังครับว่า ความรุนแรงทางสังคม มันมาจากคนที่เป็นแกนทางสังคม สร้างแบบแผนมันขึ้นมา ชาวบ้านธรรมดาไปหาเข้าพบไม่ได้ แต่ถ้าใช้กำลัง ใช้คนเยอะ ก็จะได้รับการแก้ไข
ทำให้ชาวบ้านเขาเรียนรู้ การที่จะนำปัญหาของพวกเขาไปสู่กระบวนการแก้ไขได้ว่าต้องทำอย่างไร
นี่ผมยังไม่นับรวมถึงระบบราชการที่เป็นแบบเจ้าขุนมูลนาย ที่ชาวบ้านแทบคลานเข้าบ้าน
จึงไม่แปลกใจว่าทำไมสังคมมันเพาะบ่มปัญหาความรุนแรงขึ้นทุกวัน
- เหตุก็เพราะ
1 .ปัญหามันมีและไม่ได้รับการแก้ไข และขบวนการไม่ทำงาน ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน
2.การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ทำให้ระดับท้องถิ่นแก้ปัญหาไม่ได้เมื่อเป็นเป็นหาระดับนโยบาย ชาวบ้านจึงเคลื่อนตัวเข้ามายังศูนย์กลางของอำนาจ นั่นคือตึกไทยคู่ฟ้านั่นเอง
3.สังคมเราขาดองค์ความรู้และกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมอย่างแท้จริง ขาดแบบแผนปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับ นำไปสู่การเคลื่อนไหวที่มีแนวโน้มว่าจะใช้ความรุนแรงและผิดกฎหมายอยู่ตลอดเวลา
- เพราะชาวบ้านเรียนรู้การแก้ปัญหาจากภาครัฐว่าถ้าจะได้ผลต้อง ปิดถนน ไปทำเนียบ หรือแม้แต่บุกยึดหน่วยงานทางปกครองของส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
ดังนั้นหน้าทำเนียบจึงไม่เคยว่างเว้นจากการชุมนุมของประชาชน ทั้งที่เดือดร้อนจริงๆและเดือดร้อนแบบแอบแฝง
- ส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าวัฒนธรรมนี้มันมาจาก นักการเมือง ส่วนราชการ รวมไปถึงภาครัฐระดับนโยบายต่างๆ สร้างแบบแผนนี้ขึ้นมา จนชาวบ้านเชื่อว่านี่คือเป้าหมายและหนทางนำไปสู่ความสำเร็จในการแก้ปัญหาของพวกเขา
- ต้นตอของปัญหานี้ทั้งหมดต้องกลับไปปรับเปลี่ยนวิธีคิด รูปแบบ ในการมองชาวบ้าน ในการแก้ไขปัญหา อย่ามองว่าชาวบ้านคนเดียว ก็มีเพียงปัญหาเดียวปล่อยทิ้งไม่สนใจ แท้ที่จริงแล้ว ชาวบ้านคนเดียวที่เดินมา เป็นสัญญาณเตือนว่าขณะนี้มีปัญหาเกิดขึ้นในสังคมแล้ว
ควรรีบเร่งทำการแก้ไข ไม่ใช่ปล่อยไว้เป็นดินพอกหางหมูเป็นปัญหาสังคมหมักหมมต่อไป เพียงเพราะความคิดที่มองคนแต่รูปลักษณ์ภายนอกจนเกิดลัทธิเอาอย่าง จนกลายเป็นแบบแผนขึ้นทางสังคมดังที่ปรากฎ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น